Monthly Archives: กันยายน 2007

คงถึงเวลาแล้วนิ

มาตรฐาน
ได้เวลาแล้ว….. 
 
 
 
         นอนตื่นสายเพราะหลับหลังละหมาดมาหลายวัน….ได้เวลาตื่นเช้าแล้วไม่นอนหลังละหมาดซุบฮซะที
 
 
ไม่มีระเบียบกับชีวิตมานานเกือบเดือน…ได้เวลาสู่โหมดมีวินัยต่อตัวเองซะที
 
 
นอนห้องแอร์เย็นฉ่ำจนหนาวมาหลายวัน….ได้เวลากลับไปนอนพัดลมตัวเหมือนเคย
 
 
นอนเตียงนุ่มกับหมอนคู่ใจมาหลายวัน…ได้เวลากลับไปนอนเบาะแข็งกับที่นอนข้างเตียงเหมือนเคย
 
 
เป็นลูกสาวคนเล็กประจำบ้านหลายวัน…ได้เวลากลับไปเป็นพี่ๆของเด็กในห้องซะที
 
 
ทานข้าวกับคนในครอบครัวมาหลายวัน…ได้เวลาทานข้าวกับเพื่อนขาประจำเหมือนเคย
 
 
กินข้าวตามอำเภอใจที่บ้านมาหลายวัน….ได้เวลากลับไปกินข้าวตรงเวลาที่โรงอาหารเหมือนเคย
 
 
ละหมาดที่บ้านมาหลายวัน…ได้เวลาเดินไปละหมาดมัสยิดทุกเวลาซะที
 
 
ไร้สาระเรื่อยเปื่อยไปหลายวัน…ได้เวลาอ่านตำราหนังสือร่ำเรียนซะที
 
 
พักผ่อนอยู่บ้านมาหลายวัน…ได้เวลาไปสู้กันต่อกับศึกหนักอีกเหมือนเคย
 
 
มีรีโมทคู่กายมาหลายวัน…ได้เวลามีกรุอานคู่กายและใจซะที
 
 
สายตาจดจ่อกับคอมและทีวีมาหลายวัน…ได้เวลาจดจ่อกับหนังสือและกรุอานซะที
 
 
สุนัตหลังละหมาดฟัรฏขาดบ้างหายบ้างเป็นบางที…ได้เวลาครบถ้วนที่มัสยิดซะที
 
 
ก่อนนอนได้แต่บอกให้คนที่บ้านปลุกก่อนไปทำงาน…ได้เวลาที่เด็กในห้องจะบอกให้เราปลุกเค้าซะที
 
 
อยู่บ้านเจอญาติพี่น้องได้คุยอย่างเมามันส์เพราะไม่ได้เจอนาน…ได้เวลาเดินเจอคนในหอทั้งวี่ทั้งวันเหมมือนเคย
 
 
หาไรทำให้ผ่านไปวันๆ…ได้เวลามีอะไรทำจนหาเวลาว่างไม่มีเหมือนเคย
 
 
เดินหัวสะพานแล้วก็หมู่บ้านมาหลายวัน…ได้เวลาเดินสนามที่หอและสวนเหมือนเคย
 
 
อยู่นี่ได้แต่มองฟ้าเวลาอยู่หัวสะพาน…ได้เวลามองฟ้าทั้งเช้าทั้งเย็นซะที
 
 
อยู่แต่ห้องทีวีกับห้องนอน…ได้เวลาไปทั้งนั่งและนอนเรียนซะที
 
 
ง้องแง๊งงอแงมาหลายเวลา…ได้เวลาเข้มแข็งเป็นพี่ซะที
 
 
ไม่สบายมีคนหายูกยาให้กิน…ได้เวลาเด็กที่ห้องจะถามว่าพี่มาดา..มียาอันนี้ไหม..ปวดท้องปวดหัวเมื่อยขาและอีกมากมาย..
 
 
อยู่นี่ได้ยินเสียงแม่เสียงน้าพี่ชาย…ได้เวลาได้ยินเสียงอิมามเสียงครู..อีกแล้ว
 
 
อยู่บ้านมาหลายวัน….ได้เวลากลับฟรุกอนซะที
 
 
จะ11.30แล้ว…ใกล้เวลากลับหอเข้ามาทุกที
 
 
เคยมั้ยคะ..อาการอยากหลอกตัวเอง…ฉันเป็นบ่อยทีเดียว
 
อยากหลอกตัวเองแต่ใจมันไม่ค่อยจะเชื่อซักเท่าไหร่
 
อยากบอกอยากหลอกว่า กลับไปเถอะคนเรามันก็ต้องเจอบททดสอบ ถ้าชีวิตไม่มีบททดสอบก็เหมือนทะเลไม่มีคลื่น..แล้วจะหาความสวยงามความมีชีวิตชีวาจากไหน
 
 
บางอย่างอารมณ์มันก็อยู่เหนือเหตุผลทั้งๆที่ความจริงเหตุผลต้องมาก่อน
 
 
ยิ่งรออะไรยิ่งรู้สึกนาน…เฮ้อเมื่อไหร่จะจบหนอ…รอคอยช่างยาวนาน
 
(เดี้ยวกลับมาจะเขียนอะไรเกี่ยวกับ รร แห่งนี้ให้ฟัง)..หลายอารมณ์ที่ได้แค่ถ่ายทอดให้รับรู้แต่มันไม่เข้าถึงของจริงหรอกค่ะ..ถ้าพวกคุณไม่ได้สัมผัสด้วยตัวคุณเอง
 
แล้วคุณจะรู้ว่า…ฟรุกอน…เป็นมากกว่าคำว่า รร
 
 
แล้วเราจะกลับมา….อินชาอัลลอฮ
 
 
 
 
 

นั่งฟังคุตบะ

มาตรฐาน
คอเต็บ…พูดอะไรหลายเรื่อง…มาสะดุดอย่างนึงที่เขาบอกว่า…
 
……เวลาเราขึ้นเครื่องบินเค้าประกาศให้ปิดมือถือเพราะมันจะรบกวนระหว่างการสื่อสารของนักบิน กับหอควบคุมการบิน…พวกเราก็รีบปิดรีบทำตามกันทุกอย่าง…
 
                เพราะเรากลัวจะตายกลัวจะมีปัญหาในการบินเพราะคลื่นมือถือของเรา
 
แล้วคอเต็บก็พูดให้ฟังอีกว่า….แต่ทำไมพอเราเข้าเฝ้าอัลลอฮอย่างเช่นมาฟังคุตบะหรือละหมาด5เวลาในมัสยิด
 
เราถึงไม่ปิดมันทั้งๆที่เราเองก็กำลังสื่อสารกับพระเจ้าของเรา…พระเจ้านะคะพระเจ้าช่วยย้ำให้อีกที…ขนาดแค่นักบินสื่อวารกับหอบังคับการไม่ได้เรากลัวจะตาย
 
แต่ถ้าเราสื่อสารกับพระเจ้าอย่างไม่มีสมาธิเดี้ยวไอนี่ก็ดังไอโน่นก็เตือนsmsก็เข้า…แล้วถามหน่อยสมาธิพวกคุณมันจะไปอยู่ไหนหมด…แล้วมันจะสมบรูณ์ไหม
 
ทีนี้การละหมาดนอกจากจะไม่ได้บุญแล้ว..เผลอๆพวกคุณยังได้บาป…โทษฐานไม่เอาใจใส่เผลอเรอในการละหมาด
 
กรุอานก็เตือนแล้วพระเจ้าของคุณก็บอกคุณแล้ว…ความวิบัติจงประสบแด่ผู้ที่ทำละหมาดพวกที่เขาเผลอไผลในการละหมาดของพวกเขา
 
อย่างคิดว่าอะไรเล็กๆน้อยนิดหน่อย..แต่อย่าลืมว่ากองไฟกองใหญ่ก็เกิดจากประกายไฟเล็กได้เหมือนกัน…..

ไม่อาจผูกพัน

มาตรฐาน
   เคยได้ยินมั้ยค่ะ……โลกนี้ที่เราไม่อาจผูกพัน….จะด้วยเหตุผลมากมายเพราะอะไรก็แล้วแต่
 
ถูกค่ะเพราะดุนยาคือโลกที่ไม่อาจผูกพัน…..แต่มิตรภาพบางอย่างทำให้เราผูกกัน
 
…………ผูกกันด้วยสายใยบางๆ…ของอิสลาม
 
………ผูกกันทำให้เราห่วง…ใครบางคน
 
…….ผูกกันทำให้เราคิด…..ถึงใครอีกบางคน
 
ผูกกัน….เพราะเราคือพี่น้องในหนทางเดียวกัน…อิสลามทำให้เราเจอกันทำให้เราผูกพันกัน 
 
สายใยบางๆทอเราเป็นผ้าผืนใหญ่ทักถอความห่วงใย…และจะเป็นผืนเดียวกัน…ก้เราผูกกันแค่นั้นแหละ…ที่ชั้นอยากบอก

จะกลับแล้ว…

มาตรฐาน
ไม่มีอะไรหรอกค่ะ…
 
อยากตะโกนดังๆว่าจะกลับ รร แล้วหลังจากหยุดมานาน….(แต่ก็อยากหยุดมากกว่านี้นะ)   ตอนแรกก็คิดว่าจะรีบๆเขียนอะไรลงสเปซเอาไว้เพื่อจะมีคนอ่านแบบเขียนเยอะๆอ่ะน่ะ
แต่ด้วยกับว่าพรุ่งนี้จะกลับแล้วกะจิตกะใจแล้วก็อารมณ์มันก็ไม่ค่อยมี…แค่นั่งพับเสื้อเก็บของ..อารมณ์ที่จะต้องกลับก็พุ่งปรี้ดเข้าไปยังโสตประสาทบอกเจ้าของสมองว่าแกจะกลับบ้านแล้วนะเว้ย เหอๆเรียกว่าบ้าน..เพราะ80%ของชีวิตอยู่แต่ที่ รร ถึงแม้มันจะ..เอาเป็นว่าเด็กฟรุกอนทุกคนรู้กันดี
 
 
ความจริงแล้วแล้วที่ได้กลับมาบ้านมันก็ไม่น่าจะได้กลับมาหรอกแต่เพราะเหตุการณ์มันสุดวิสัย…หยุดไปเกือบเดือนแบบว่านานก็จริงตอนแรกพอกลับมาบ้านก็คิดว่าโหยได้หยุดตั้งเยอะคงจะมีอะไรทำพออยู่ไปเรื่อยๆเวลาเริ่มผ่านไป  ผ่านไปแล้วก็ผ่านไปโดยส่วนใหญ่ก็ไม่ได้อะไรเลยเฮ้อ..แล้วพอจะกลับ รร มันก็เหลืออีกแค่3อาทิตย์จะสอบมีเวลาจะเตรียมตัวทำอะไรตั้งแยะ
แต่ก็เดี้ยวๆพรุ่งนี้ยังมีๆพอมาวันนี้…พรุ่งนี้แกจะกลับแล้วเว้ย…เฮ้อ
 
คิดไปคิดมา…..ถ้าเอาไปเปรียบเทียบกับเวลาชีวิตที่ใช้ในดุนยามันคงเหมือนกันเนอะ
 
                  แตกต่างกันที่เรารู้ว่าเราจะกลับ รร เมื่อไหร่เพราะวันมันกำหนดออกมาแล้ว..ว่าต้องเป็นพรุ่งนี้ ..2กันยา(ฮือๆ)
 
ไม่เหมือนกิยามะฮ….
 
ที่มีแต่สัญญาณเตือนให้เรารู้ว่ามันจะมาถึง…ถ้ามีอันโน้นอันนี้ปรากฏ…แต่เพราะมันเกิดครบแล้ว(สัยญาณเล็กๆ)แต่สัญญาณใหญ่มันยังไม่เกิดเท่านั้นเรายังจึงไม่โอดครวญเหมือนตอนจะกลับ รร
 
มันเหมือนกันตรงที่….
 
เวลาที่กลับมาอยู่บ้านเยอะๆแล้วเราก็คิดว่ามีเวลาอีกตั่งนาน…ที่จะทำอะไรมากมายทำการบ้านท่องกรุอานเพื่อเตรียมสอบ  มันก็เหมือนดุนยาเรามีเวลามากมายแล้วเราเองและใครอีกๆหลายคนก็คิดว่าเรายังมีเวลามากพอ…แล้วเราก็ปล่อยมันให้ผ่านไปเรื่อยๆ…ผ่านไปๆ
                                     
                                        ถ้ากลับไป รร แล้วทำโน่นทำนี่ไม่ทันเราคงคิดว่าถ้า…(ซึ่งความจริงมันไม่น่าจะพูดคำว่าถ้า) เราอ่านกรุอานเยอะกว่านี้ไร้สาระให้น้อยกว่านี้เตรียมตัวเองให้มากกว่านี้เราคงไม่ต้องมานั่งผิดหวังอย่างนี้ไม่ต้องมาเหนื่อยอะไรอย่างนี้ไม่ต้องมานั่งอดหลับอดนอนทั้งงานราษฏงานหลวงแล้วก็อะไรหลายๆอย่าง
 
                         แต่ถ้าถึงวันนั้น..กิยามะฮ (อะอูซุบิลลาฮิมินซาลิก) เราจะมานั่งคิดอย่างนี้มั้ย..ถ้าเราไม่เตรียมตัวเตรียมพร้อม  เราจะคิดไหมว่าถ้าเราเอาเวลาตรงนั้นมาถือบวช มาอ่านกรุอานมาสนใจพ่อแม่ที่สวรรค์ก็อยู่กับเค้า…มาทุ่มเทเวลากับสิ่งที่ควรจะทำมากกว่าอะไรหลายๆอย่างที่เราเองและใครก็เรียกมันว่าสิ่งไร้สาระแต่ก็ยังทำมันอยู่
 
………….ตอนนี้ถามว่ารู้มั้ย…ก็รู้กับอะไรที่มันผ่านๆมาแต่บางทีก็ด้วยกับความเป็นมนุษย์…ที่ชอบจะหลงลืมเผลอ…ก็มนุษย์ไงถึงจะตูกเตือนกันมากแค่ไหน
 
มันก็กลับมาเป็นอะไรอย่างที่เรียกว่าแย่ๆกันได้ทุกคนนั่นแหละ…..แต่มันก็เป็นหน้าที่ของเราแล้วก็ท่านทุกๆคนที่จะต้องแสวงหากันตักเตือนแล้วก็ตักเตือนคนอื่นด้วย….
 
เพราะพระองค์บอกว่า…แท้จริงการตักเตือนนั้นจะยังประโยชน์…เชื่อพระองค์ไหม…ถ้าเชื่อ  ก็จงแสวงหาแล้วก็หยิบยื่นเถอะ…เพราะไม่มีใครจะดีเกินจะรับฟังคำตักเตือนหรอก