Monthly Archives: พฤษภาคม 2009

แค่ความเข้าใจ…คงพอ

มาตรฐาน
สมัยนี้ใครๆก็ใส่ใจกับตัวเองทั้งนั้นแหละ ทั้งเรื่อง กินเรื่องเที่ยว คิดแล้วคิดอีก เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดคุ้มที่สุด และสุขใจที่ได้มีหรือครอบครอง

 สมัยนี้จะกินอะไร เรามักจะดูว่ามันมีประโชยน์กับร่างกายไง มีวิตามินไรมั่ง กินแล้วมีผลเสียกับเราหรือเปล่า

ถ้าเป็นผู้หญิง ก็ยิ่งเลือกใหญ่ว่าถ้ากินนี่เยอะไป มันจะทำให้อ้วนหรือเปล่า เอ๋ หรือบางที ก็พยายามหาอะไรกินแล้วหน้าใส กินแล้วสิวหาย

ทั้งทาทั้งพอกทั้งกิน เรียกได้ว่าการบริโภคของคนเราเปลี่ยนไป จากที่เดิมๆมักจะกินเพราะอยากกิน หรือกินเพราะมันอร่อย
ก็ดีคะ เข้าตำรา ที่พระองค์ให้ บริโภค ของที่ฮาล้าลแล้วก็ดีด้วย (เหนียตดีๆจะได้บุญด้วย)

คนบางคนกินมะเขือเทศ เพราะมันทำให้ผิวสวย กินแล้วสุขภาพดี และประโยชน์ที่มากมายของมัน
แต่คนบางคนก็เลือกที่จะไม่กินเพราะ อาจด้วยอาการ ขยะแขยง แหยะๆ ของรสชาติบ้างแหละ และอคติของความไม่อร่อยบ้างละ
หรือแค่เห็นแรกพบก็ไม่ชอบก็มี ถ้าถามว่ารู้ไหมว่ามันมีประโยชน์กินแล้วดี ก็รู้แต่ก็ไม่ผิดที่ใครจะเลือกกินอย่างไร..

ในทางกลับกัน ฮิญาบของฉัน ถ้าเปรียบเป็นอาหารหรือผักผลไม้สักชนิดก็คงคล้ายๆกัน
บางคนเลือกที่จะกินเลือกที่จะใส่เพียงเพราะใส่ใจในตัวเองอยากให้ร่างกายแข็งแรงปลอดภัย อยากให้สิ่งดีกับตัวเอง
 บางคนก็อาจจะกินอยากอื่นใส่แบบอื่น เพราะร่างกายของเค้าอาจจะพอเพียงแล้ว รู้สึกดีแล้วปลอดภัยแล้ว
ไม่ผิดหรอกกับการเลือกจะทำสิ่งไหน ถ้าเหนียตให้สิ่งดีกับตัวเองแล้ว…มันก็จบ
ร่างกายและจิตใจของคนเราต่างกัน บางคนเสาะหาสิ่งดีให้ตัวเองเรื่องหนึ่ง ก็ไม่จำเป็นที่มันจะจำกัดอยู่ในขอบเขตของเรื่องนั้นเรื่องเดียว

อย่าให้ประเด็นของการพยายามทำในสิ่งดีมันถูกวิพากวิจารณ์ ซะจนเหนื่อยอ่อนหมดกะลังจัย
ในขณะที่เรื่องน่ากลัวอื่นๆของสังคม จะกลายเป็นสิ่งชินชาของสังคม และยากที่จะขัดเกลามากกว่าที่จะมาตั้งแง่ กับสิ่งดีๆที่ไม่เคยมีดีกว่า

ก็อย่างที่บอกละคะ ไม่ได้ผิดที่ใครจะเลือกเป็นยังไง …

สิ่งที่คุณคิด
ไม่เหมือน
สิ่งที่ฉันคิด
ใครคิดผิด
ตอบที……

วงจรแห่งความคิดถึง…เอิ้ก(แอบเศร้าตอนจบ)

มาตรฐาน
ไม่ได้กลับมาจับดินสอเขียนอะไรซะนาน ถึงขนาดไปไม่ออกบอกไม่ถูกกันเลยทีเดียว

ก็เลยต้องมาฝึกกะสเปซตัวเองซะหน่อย

คิดถึง รร (บ้าป่าวเนี่ยความคิดนี้ออกมาจริงๆหลอ)วุ้ยเป้็นไปได้เว้ยเรา

คิดถึงวงจรชีวิตตอนอยู่หอที่หลายๆครั้งเล่นเอาแทบหัวเสีย วงจรชีวิตที่ต้องวางระเบียบให้กับชีวิต

แบบขนาดที่ต้องคิดว่า ชั่วโมงนี้นอนชั่วโมงนี้ตื่น กินข้าว อ่านหนังสือ จัดกันทุกระเบียดนิ้ว

ภารกิจและวงจรแต่ละวันของที่นี่เรียกได้ว่าง่วนอยู่กับสิ่งมีสาระทั้งสิ้น!! ย้ำนะคะ ว่ามีสาระ

แต่ก็ไม่แปลกที่จะเสาะหาความไร้สาระของชีวิตเข้ามาปนเปบ้างตามประสา

มีสิ่งดีอยู่ตรงหน้า แต่ก็ชอบจะผลักไสแล้วแสวงหาสิ่งไร้สาระ

พออยู่นานชักคิดได้ บรรยากาศการทำดีอย่างไม่เขอะเขิน หาได้ไม่ยากนักหรอกในสังคมที่วุ่นวายสมัยนี้

ก็เลยตักตวงเท่าที่ทำได้  แต่พอจบแล้ว ก็แอบคิดถึงวงจรชีวิตเฉกเช่นนั้นไมไ่ด้

ญะมาอะห์ที่ร่วมกันทำดี ชักชวน และเตือนด้วยความหวังดีจากใจ…

 น่าเสียดายจัง….

*  อิมามชาฟิอีย์ สอนลูกศิษย์ของท่านและฟัตวาปัญหาต่างๆอายุราวๆ20ปี หันกลับมามองตัวเอง…
คนเรามีอายุเฉลี่ยราวๆ60-80 ก็เรียกได้ว่าไม้ใกล้ฝั่ง  รอวันที่ไร้ความสามรถแล้วก็จะกลับไป
1/4ของชีวิตถูกใช้ไปแล้ว ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ถึงขนาดไหน…

          15ปีแรกของชีวิตยังไม่รู้…ยังไม่ได้ลงมือทำอะไร  4-5ปีที่ผ่านทำอะไรไปแค่ไหน ความดีกับความชั่ว
ไม่รู้มลาอิกะห์ข้างไหนจะทำงานหนักกว่ากัน(แอบลุ้นตลอดนะว่าข้างขวาจะเหนื่อยกว่าข้างซ้าย อามีนๆ)
แล้วถ้าความชั่วมากกว่าละ ต้องมีชีวิตเพื่อทำดีลบล้างไปอีกกี่ปีถึงจะหมด แล้วจะมีได้ไหม…จะขอกู้เวลาจากไหน
ในเมื่อชีวิตนี้  … ไม่ได้เป็นของเรา

ท่านนบีมุฮัมมัด ได้กล่าวเตือนคนหนุ่มสาวว่า

“จง
ฉกฉวยห้าประการแรก ก่อนห้าประการหลัง (จะตามมา) ความหนุ่มสาวของท่าน
ก่อนวัยชรา สุขภาพที่ดีของท่าน ก่อนความเจ็บป่วย ฐานะที่ดีของท่าน
ก่อนความยากจน การมีเวลาว่างของท่านก่อนที่ท่านจะมีงานยุ่ง
การมีชีวิตที่ดีของท่านก่อนความตาย”

แด่ผู้ยึดถือแนวทางสลัฟ

มาตรฐาน

แด่ผู้ยึดถือแนวทางสลัฟ

โดย เชค ซะอ์ด อัลหุซอยน์

          ข้าพเจ้ารู้สึกเจ็บปวดเมื่อได้อ่าน และได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับความแตกแยก การขัดแย้ง การกล่าวหา การสร้างเรื่องผลพวงของความโง่เขลา การมีทิฐิ และการแตกแยกในทางศาสนา อันที่จริงแล้ว พระองค์อัลลอฮ์ ทรงใช้ให้เรายึดสายเชือก คือ ศาสนาของพระองค์โดยพร้อมเพรียงกัน มิทรงให้เราแตกแยก และมีความขัดแย้งในศาสนาของพระองค์ พร้อมกับให้ทำการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ข้อเท็จจริงนั้นสามารถสรุปได้ดังนี้คือ

          1. ลูกหลานอาดัมทุกคน ย่อมมีความผิดพลาด (كل ابن ادم خطاء) ผู้ที่สมบูรณ์ที่สุดคือ อัลลอฮ์ ซุบฮาน่าฮุว่าตะอาลา องค์เดียวเท่านั้น ผู้ที่ได้รับความคุ้มครองให้ปราศจากความผิด ในทางปฏิบัติอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ หรือในการเผยแพร่สาสน์ของพระองค์ คือ ท่านเราะซูล  ของ พระองค์เท่านั้น ความผิดพลาดจากคำพูด และการกระทำของลูกหลานอาดัมจะมีเพิ่มมากขึ้น พร้อมๆกับการดำเนินกิจกรรม การเพิ่มผลงาน มีการพูดมาก และการกระทำมาก และอัลลอฮ์เท่าน้นที่รู้ในสิ่งที่บุคคลนั้นปกปิด

          2. การมีความพยายาม ในการกระจายความผิดพลาดให้ใหญ่โตขึ้น และให้แพร่หลายออกไปในวงกว้าง สาเหตุอันเนื่องมาจากความโง่เขลา หรือการอิจฉาริษยา หรือการดึงดัน หรือการด้อยความรู้ และไม่ค่อยปฏิบัติ แต่ชอบการโต้เถียง และการปะทะคารม เพราะมนุษย์เป็นไปตามที่อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า

"มนุษย์นั้นส่วนมากแล้วชอบโต้เถียง" (อัลกะฮ์ฟ /54)

          3. การแตกแยก และการขัดแย้ง เป็นการกำหนดของอัลลอฮ์ เป็นไปโดยธรรมชาติในบรรดาบ่าวของพระองค์ แต่มิได้หมายความว่าพระองค์ทรงชอบความขัดแย้ง  และทรงพอพระทัยให้บรรดาบ่าวของพระองค์มีความขัดแย้ง ในบัญญัติทางศาสนาของพระองค์ และมิได้ให้ท่านเราะซูล มีการไต่ถามกันในความขัดแย้ง นอกจากจะทรงให้มันเป็นภาวะที่ยุ่งยากของประชาชาตินี้ ระหว่างพวกเขาเว้นแต่ที่พระองค์ทรงประสงค์

          4. จงอย่าได้แสดงความนิยมในความขัดแย้งของผู้ที่ทำตามอารมณ์ วะฮีย์ เพียงประการเดียวเท่านั้นที่จะก่อให้เกิดเอกภาพ เพราะมันเป็นสิ่งที่แน่นอน มาจากพระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลโลก

          ความคิดเห็นย่อมจะก่อให้เกิดการแตกแยก ทั้งนี้เนื่องจากมีที่มาหลากหลาย ดังที่อัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า

"ทุกฝ่ายยินดีในสิ่งที่พวกเขายึดอยู่" (อัลมุมินูน /53)

          ความคิดเห็นเป็นเพียงทัศนะที่คาดคะเนไว้แล้วเท่านั้น ดังที่อัลลอฮ์ตรัสว่า

"แท้จริงการนึกคิดนั้น ไม่อาจจะทดแทนความจริงได้แต่อย่างใด" (ยูนุส /36)

          แนวทางของท่านนะบี  ซึ่ง เป็นวะฮีย์นั้น จำเป็นที่มุสลิมทุกคนจะต้องรวมพลังยึดมั่นไว้ ส่วนแนวทางด้านความคิด ซึ่งถูกขยายโดยอาศัยอิสลาม ทำให้มุสลิมเกิดการแตกแยกเป็นพรรค เป็นพวก และเป็นฝักเป็นฝ่าย

          5. ชัยฏอน คือผู้สร้างความแตกแยกระหว่างผู้ที่มีความศรัทธา เพื่อจะทำให้พวกเขาเฉออกจากทางที่เที่ยงตรง มันคือศัตรูซึ่งจำเป็นที่ราจะต้องยึดว่ามันเป็นศัตรูด้วย

          6. มีโรคต่างๆมากมายที่เข้ามา และขยายความแตกแยก เช่น การอิจฉาริษยา การล่าความผิดพลาดแล้วนำไปขยายผล การสร้างคำพูดที่สับสน การสนับสนุนตัณหาอารมณ์ในการสร้างความชั่ว

          7. จำเป็นจะต้องตรวจสอบดูให้แน่ชัด ก่อนที่จะกล่าวหาว่ามีการทำอุตริกรรม โดยการชี้แจงถึงพิษภัยของมัน และทัศนะของนักวิชาการเกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้แก่ผู้ที่ไม่รู้ ถ้าหากว่าเขาละเลิกจากการทำอุตริกรรมก็เป็นสิ่งที่ดี แต่หากว่าเขาไม่เลิกก็จัดหานักวิชาการหลากหลายมาพูดคุยกับเขาจนกว่าเขาจะ เลิก และกลับตัว

          จำเป็นที่เราทั้งหมดจะต้องกลับไปยึดถือความจริง และร่วมมือกันในการทำความดีและมีความยำเกรง และไม่ร่วมมือกันในการทำความชั่ว และการเป็นศัตรูกัน พร้อมกันนั้นจะดำรงหน้าที่ของบรรดานะบี นั่นคือการเชิญชวนไปสู่อัลลอฮ์ มีความนึกคิดที่ดี เพื่อเราจะได้มีพลังเหมือนมือเดียวกันในการลบล้างสิ่งที่เป็นอุตริกรรม การมีหลักความเชื่อที่เสียหาย และอุดมการณ์ของเราคือ  "คนดีระหว่าง 2 คนที่พิพาทกัน คือ ผู้ที่เริ่มด้วยการสลามก่อน"

และอัลลอฮ์ตรัสว่า

"และท่านทั้งหลายจงอย่าแตกแยกกัน มิเช่นนั้นพลังของสูเจ้าทั้งหลายจะมลายไป" (อัลอัมฟาล / 46)