แด่…ผู้ยังคงอยู่ ผู้วิ่งเข้าหาความตาย และผู้กลับไป ด้วยความระลึกถึง
ฉันยังได้กลิ่นอายรอมฏอนอยู่จางๆ พร้อมกับการจากไปของญาติ พี่น้องและคนรู้จัก ทีละคน ทีละคน
ความตาย….มักเป็นแขกที่ไม่มีครอบครัวไหนอยากเปิดประตูต้อนรับซักเท่าใดนั้น
ความตาย…ไม่เคยมีใครเฝ้ารอคอยการมาถึงของมัน
ช่างต่างกันเหลือเกิน กับรอมฏอนที่เพิ่งจากไป แต่หากจะหาจุดร่วมของสองสิ่งดังกล่าว พอจะมองเห็นอยู่ได้บ้างว่า
ทั้งความตายและรอมฏอนนั้น เป็นสิ่งที่อัลลอฮได้ให้ความสำคัญและเน้นย้ำความสำคัญนั้นไว้ในคัมภีร์ของเรา ในธรรมนูญที่ใ้ช้ในการดำเนินชีวิต
นั่นหมายความว่า ความตายและรอมฏอน น่าจะมีจุดที่เราต้องให้ความสำคัญ ต้องหาความเข้าใจ ต้องมองวาระซ่อนเร้นของมัน มากกว่าที่จะให้ทั้งรอมฏอนและความตายของใครต่อใครผ่านไปเพื่อที่จะกลับมาเริงร่าได้อีกครั้ง
(ขอยกเรื่องราวของรอมฏอนไว้พูดในประเด็นต่อๆไป)
ความตายมักเป็นสิ่งที่ฉันและคนอื่นๆมักจะลืมเลือนไปชั่วขณะถึงแม้จะตระหนักดีเสมอว่า ไม่ช้าไม่นานเราก็จะได้ลิ้มรสความตายอยู่ดี
แรกเริ่มที่อยากหยิบประเด็นนี้มานำเสนอนั่นเพราะ เมื่อความตายมาถึงหลายคนมักไม่พร้อม ไม่ทันเตรียมตัว ไม่ว่าจะเป็นคนที่ประสบโดยตรงหรือคนร่วมเหตุการณ์ จึงอยากเสนอเกร็ดเล็กๆน้อยๆ แนวทางที่อิสลามสอนไว้เพื่อความพร้อม ในการรับมือกับกอฏอก่อดัร ต่อๆไป
หากมีโอกาสอยู่ในสถานการณ์กับผู้ใกล้ตาย…
1.มีรายงานจากอุมมุสะละมะฮฺ ว่าท่านเราะสูลุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า:
« إِذَا حَضَرْتُمُ الْمَرِيضَ أَوِ الْمَيِّتَ فَقُولُوا خَيْرًا فَإِنَّ الْمَلاَئِكَةَ يُؤَمِّنُونَ عَلَى مَا تَقُولُونَ ». قَالَتْ فَلَمَّا مَاتَ أَبُو سَلَمَةَ أَتَيْتُ النَّبِىَّ -صلى الله عليه وسلم- فَقُلْتُ يَا رَسُولَ اللَّهِ إِنَّ أَبَا سَلَمَةَ قَدْ مَاتَ قَالَ « قُولِى اللَّهُمَّ اغْفِرْ لِى وَلَهُ وَأَعْقِبْنِى مِنْهُ عُقْبَى حَسَنَةً ». قَالَتْ فَقُلْتُ فَأَعْقَبَنِى اللَّهُ مَنْ هُوَ خَيْرٌ لِى مِنْهُ مُحَمَّدًا -صلى الله عليه وسلم-.
ความว่า : “เมื่อพวกท่านไปเยี่ยมผู้ป่วยหรือคนตายก็จงกล่าวแต่สิ่งดี ๆ เพราะมะลาอิกะฮฺจะกล่าว”อามีน” ต่อสิ่งที่พวกท่านได้กล่าวไว้” ( ซึ่งการกล่าวอามีนของมะลาอิกะฮฺต่อคำพูดหรือคำขอใด ๆ จะทำให้คำขอนั้น ๆ ถูกตอบรับโดยง่าย) นางเล่าต่อว่า ครั้น เมื่ออบูสะละมะฮฺ (สามีของนาง) เสียชีวิตลงฉันก็ได้ไปหาท่านเราะสูลุลลอฮฺ และพูดว่า “โอ้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ อบูสะละมะฮฺได้สิ้นชีวิตแล้ว ท่านเลยกล่าวว่า เธอจงกล่าวซิว่า
اللَّهُمَّ اغْفِرْ لِى وَلَهُ وَأَعْقِبْنِى مِنْهُ عُقْبَى حَسَنَةً
(แปลว่า โอ้พระองค์อัลลอฮฺ ขอโปรดทรงประทานอภัยให้แก่ฉันและเขา และให้ฉันมีปลายทางที่ดีหลังจากเขา) นางเล่าว่า “แล้วอัลลอฮฺก็ทดแทนคนที่ดีกว่าเขาให้แก่ฉันนั้น นั่นคือมุหัมมัด ” (บันทึกโดยมุสลิม หมายเลข 919)
2.จากอุมมุสะละมะฮฺ เล่าว่า :
دَخَلَ رَسُولُ اللَّهِ -صلى الله عليه وسلم- عَلَى أَبِى سَلَمَةَ وَقَدْ شَقَّ بَصَرُهُ فَأَغْمَضَهُ ثُمَّ قَالَ «إِنَّ الرُّوحَ إِذَا قُبِضَ تَبِعَهُ الْبَصَرُ ». فَضَجَّ نَاسٌ مِنْ أَهْلِهِ فَقَالَ «لاَ تَدْعُوا عَلَى أَنْفُسِكُمْ إِلاَّ بِخَيْرٍ فَإِنَّ الْمَلاَئِكَةَ يُؤَمِّنُونَ عَلَى مَا تَقُولُونَ ». ثُمَّ قَالَ «اللَّهُمَّ اغْفِرْ لأَبِى سَلَمَةَ وَارْفَعْ دَرَجَتَهُ فِى الْمَهْدِيِّينَ وَاخْلُفْهُ فِى عَقِبِهِ فِى الْغَابِرِينَ وَاغْفِرْ لَنَا وَلَهُ يَا رَبَّ الْعَالَمِينَ وَافْسَحْ لَهُ فِى قَبْرِهِ. وَنَوِّرْ لَهُ فِيهِ».
ความว่า : ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ได้เข้าหาอบีสะละมะฮฺในสภาพที่ดวงตาของเขาได้เบิกค้าง ท่านจึงลูบมันให้ปิดลงแล้วกล่าวว่า “ดวงวิญญาณนั้น เมื่อมันถูกจับ (สิ้นชีวิต) ดวงตาก็จะมองตาม” แล้วคนในครอบครัวของเขาคนหนึ่งก็ตะโกนครวญคราง ท่านเลยกล่าวว่า “จงอย่ากล่าวขอสิ่งใดให้เกิดกับตัวพวกท่านนอกจากสิ่งดี ๆ เพราะเหล่ามะลาอิกะฮฺจะกล่าว ”อามีน” ต่อสิ่งที่พวกท่านกล่าว” หลังจากนั้นท่านก็ได้ขอดุอาว่า
اللَّهُمَّ اغْفِرْ لأَبِى سَلَمَةَ وَارْفَعْ دَرَجَتَهُ فِى الْمَهْدِيِّينَ، وَاخْلُفْهُ فِى عَقِبِهِ فِى الْغَابِرِينَ، وَاغْفِرْ لَنَا وَلَهُ يَا رَبَّ الْعَالَمِينَ، وَافْسَحْ لَهُ فِى قَبْرِهِ، وَنَوِّرْ لَهُ فِيهِ
(แปลว่า โอ้พระองค์อัลลอฮฺ !ขอโปรดทรงประทานอภัยให้แก่อบีสะละมะฮฺ (เมื่อเราต้องการจะขอดุอาให้แก่ผู้ตายคนใดก็ให้เปลี่ยนชื่อจากอบีสะละมะฮฺให้เป็นชื่อคนตายที่เราต้องการ- ผู้แปล) โปรดทรงเลื่อนตำแหน่งของเขาให้อยู่ในกลุ่มผู้ได้รับทางนำ โปรดทรงสืบทอดทายาทของเขาให้อยู่ในหมู่คนที่หลงเหลือ โปรดทรงประทานอภัยแก่พวกเราและแก่เขาเถิดโอ้พระเจ้าแห่งสากลโลก และโปรดทรงขยายหลุมศพให้กว้างขวางและทำมันให้สว่างไสวสำหรับเขา) (บันทึกโดยมุสลิม หมายเลข 920)
ส่งเสริมให้ทำการตะอฺซิยะฮฺ(ปลอบโยน)ให้กับญาติผู้ตายก่อนทำการฝังหรือหลังการฝังศพ โดยให้กล่าวกับพวกเขาดังเช่นดุอาอ์ว่า
«إنَّ لله مَا أَخَذَ، وَلَـهُ مَا أَعْطَى، وَكُلُّ شَيْءٍ عِنْدَهُ بِأَجَلٍ مُسَمَّى، فَلْتَصْبِرْ وَلْتَـحْتَسِبْ». متفق عليه
ความว่า “แท้จริงแล้ว เป็นสิทธิของอัลลอฮฺ ในสิ่งที่พระองค์ได้เอาไป และสิ่งที่พระองค์มอบให้มา และทุกๆ สิ่ง ณ ที่พระองค์นั้นมีอายุที่แน่นอน ดังนั้นขอท่านจงอดทนและจงคิดว่ามันจะเป็นผลบุญที่ท่านจะได้รับเถิด”
(บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ หมายเลข 7377 สำนวนรายงานนี้เป็นของท่าน และ มุสลิม หมายเลข 923)
สรุปคือ ให้พูดสิ่งดีๆถึงผู้ตาย ให้ปิดตาผู้ตาย ให้ขอดุอาตามที่ท่านนบีได้ทำไว้ป็นแบบอย่างทั้งกับตัวผู้ตายและญาติของผู้ตายด้วย
“พระองค์ทรงให้มีความตายและการมีชีวิตเพื่อจะทดสอบพวกเจ้าว่า ผู้ใดบ้างในหมู่พวกเจ้าที่มีผลงานดียิ่ง และพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจผู้ทรงอภัยยิ่ง”
เราทุกคนจึงเป็นเสมือนผู้แข่งขัน ที่กำลังวิ่งเข้าสู่เส้นแห่งความตาย อาจจะไม่มีเวลาใดๆอีกแล้วนอกจากพิจารณาถึงสิ่งที่ได้ผ่านพ้นไปและคิดถึงเวลาที่เหลืออยู่ การมีอายุที่ยืนยาวนั้นไม่ได้เป็นตัวกำหนดความดี ที่มีมากตามอายุได้เลย บางครั้งอายุยืนยาวแต่เสบียงที่เก็บได้นั้นมีเพียงเล็กน้อย บางครั้งอายุน้อยของใครบางคนก็เก็บเสบียงได้มากมาย นั่นเพราะเราไม่รู้เลยว่ากำหนดความตายของเรา ณ ที่พระองค์นั้นคือเมื่อไหร่
เราจึงต้องทำความดีประหนึ่งว่าเรากำลังจะตาย อยู่ทุกเมื่อ และเตือนสติกันและกันให้ได้มากที่สุดเท่านั้นเอง